การเที่ยวชมหมู่บ้านไร้แผ่นดิน หมู่บ้านที่มีความเป็นมายาวนานกว่าร้อยปี ชมทะเลแหวก ความสร้างสรรของธรรมชาติแห่งเดียวในภาคตะวันออก ชมฝูงเหยี่ยวแดงกลางทะเล ทั้งหมดนี้ได้รับการสนับสนุนให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วิถีชุมชน อยู่ในพื้นที่ตำบลบางชัน อำเภอขลุง
หมู่บ้านไร้แผ่นดิน ฝูงเหยี่ยวแดง และทะเลแหวก เป็นกิจกรรมในพื้นที่ของตำบลบางชัน ซึ่งเป็นตำบลทางตอนล่างของอำเภอขลุง ที่มีพื้นที่อยู่บริเวณริมปากแม่น้ำเวฬุ รวมถึงส่วนที่เชื่อมต่อกับจังหวัดตราด
- หมู่บ้านไร้แผ่นดิน อยู่บริเวณที่คลองบางชันใหญ่ ไหลออกไปยังแม่น้ำเวฬุ อยู่ในพื้นที่ตำบลบางชัน อำเภอขลุง
- การชมเหยี่ยวแดง อยู่บริเวณป่าโกงกาง ลุ่มน้ำเวฬุ มีหลายแห่งในตำบลบางชัน และตำบลบ่อ อำเภอขลุง
- ทะเลแหวก อยู่ในบริเวณปากน้ำแม่น้ำเวฬุ ช่วงก่อนที่แม่น้ำจะไหลออกทะเล อยู่ในพื้นที่ตำบลบางชัน อำเภอขลุง
ตำบลบางชัน มีเนื้อที่ประมาณ 64.4 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 40,305 ไร่ มีลักษณะเป็นเกาะ และป่าชายเลน ที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวน พื้นที่ส่วนใหญ่ติดทะเลอ่าวไทย บริเวณปากอ่าว และส่วนที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำเวฬุ* ซึ่งเป็นบริเวณที่มีลำคลองผ่านหลายสาย ชาวบ้านบางชัน ประกอบอาชีพทางการประมง ในลักษณะประมงพื้นบ้าน เช่น การเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงหอยแครง วางลอบปู แร้วปู เบ็ดราว เบ็ดธง ยกยอ ทอดแห และหลักโพงพาง**
** โพงพาง หรือหลักเคย เป็นเครื่องมือจับปลาพื้นบ้าน มีลักษณะเป็นอวนที่มีหน้าตาคล้ายถุงขนาดใหญ่ ปากอวนกางยึดไว้กับเสา 2 ต้นที่ปักอยู่ในน้ำ เพื่อขึงให้ปากถุงอ้าไว้ตลอด ถุงอวนมักจะมีขนาดตาห่างบริเวณปากอวน แล้วจึงค่อยๆ ถี่ จนถึงถี่มากบริเวณก้นถุง ส่วนใหญ่จะทำเป็นถุงยาว 10-30 เมตร จึงสามารถจับสัตว์น้ำได้หลายขนาด
การใช้โพงพาง เป็นการจับปลาที่อาศัยกระแสน้ำ โดยตั้งโพงพางไว้ในจุดน้ำไหล เพื่อให้น้ำพัดพาสัตว์น้ำเข้ามาในถุงอวน ปกติจะทำกันตามปากแม่นำ้ เพื่อจับเคย และกุ้ง
ปัจจุบันถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ผิดกฏหมาย และห้ามใช้ เพราะโพงพางจับเอาสัตว์น้ำทุกชนิด และทุกขนาด ซึ่งมีผลให้ทรัพยากรหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะอาจมีตัวอ่อนของสัตว์น้ำที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ติดมาด้วย เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสัตว์น้ำบางชนิด นอกจากนี้การวางโพงพางอาจทำให้กีดขวางการสัญจร และทำให้เกิดปัญหาขวางทางน้ำจนเกิดน้ำท่วมได้
(ข้อมูลจาก www.fishtech.mju.ac.th/)
เที่ยวชมหมู่บ้านไร้แผ่นดิน
หมู่บ้านไร้แผ่นดิน หรือหมู่บ้านปากน้ำเวฬุ หมู่ที่ 2 เดิมเคยเรียกกันว่า "บ้านโรงไม้" เป็นชุมชนที่มีความเป็นมายาวนานประมาณ 135 ปีมาแล้ว โดยเริ่มมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2410 มีชาวจีนที่เดินทางอพยพเข้ามาในไทย ทำการค้าขายติดต่อไปถึงกรุงเทพฯ เมื่อผ่านมาที่จันทบุรีได้นำเรือมาหลบลมในบริเวณลุ่มน้ำเวฬุ และเห็นว่าเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทะเล มีสัตว์น้ำมากมาย จึงได้ทำการประมง จนกลายเป็นอาชีพ
หมู่บ้านไร้แผ่นดิน ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเวฬุ เดิมเป็นพื้นที่ป่าโกงกางหนาแน่น ที่มีอาณาบริเวณกว้างมาก ในอดีตมีชาวบ้านมาตัดไม้โกงกางไปขายเพื่อทำถ่าน กระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2514 รัฐเปิดสัมปทานให้มีการตัดไม้โกงกางในพื้นที่ลุ่มน้ำเวฬุ จึงมีผู้คนเข้ามาตัดไม้กันเป็นจำนวนมาก เมื่อตัดได้จะนำไม้มากองไว้ในบริเวณนี้เพื่อรอการเข้าเตาเผาถ่่าน จนเป็นที่มาของชื่อ "โรงไม้" หลังจากนั้น เมื่อหมดระยะสัมปทานป่าเผาถ่าน ผู้คนที่เคยทำกินอยู่บริเวณนี้จึงได้จับจองพื้นที่เพื่อตั้งรกราก และประกอบอาชีพประมง
(ข้อมูลจาก องค์การบริหารส่วนตำบลบางชัน http://www.bangchan.go.th/)
ต่อมาได้มีการเปลี่ยนจากเรียกว่าบ้านโรงไม้ เป็น "หมู่บ้านไร้แผ่นดิน" โดยคำว่า "ไร้แผ่นดิน" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผู้อพยพที่ไร้สัญชาติ หรือผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย แต่เป็นการเรียกเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะการอยู่อาศัยของชุมชน ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตลุ่มน้ำ ที่เป็นส่วนหนึ่งของทะเล มีน้ำล้อมรอบ โดยไม่ได้อยู่บนผืนแผ่นดิน
ปัจจุบันนี้ การเข้าถึงชุมชน ปัจจุบันยังต้องใช้การติดต่อทางเรือ เพราะยังไม่มีถนนเชื่อมกับชุมชนภายนอก และชุมชนใกล้เคียง การเดินทางจากหมู่บ้านไปยังเมืองทำได้โดยการใช้เรือ ซึ่งแต่ละวันมีเรือโดยสารเข้า-ออกวันละ 1 เที่ยว ให้ชาวบ้านได้ออกไปซื้อของใช้จำเป็นกลับมายังหมู่บ้าน โดยตอนเช้ามีเรือออกจากหมู่บ้าน 7.30 น. และกลับถึงหมู่บ้านตอนเที่ยงวัน
การสร้างบ้านเรือนของหมู่บ้านไร้แผ่นดิน จะใช้วิธีการตอกเสาไม้ลึกลงไปในเลน จากนั้นจะปลูกบ้านขึ้นไปให้สูงเหนือน้ำ เป็นบ้านไม้หลังคามุงจาก ปัจจุบันมีการใช้เสาปูน ทำให้เกิดความคงทน และแข็งแรงกว่าเดิม นอกจากนี้พื้นที่บางแห่งในหมู่บ้านก็ได้มีการนำดินมาถมเพื่อให้เป็นพื้นดินที่แข็งแรงขึ้นด้วย ส่วนถนนในหมู่บ้านนั้น เป็นทางถนนคอนเกรีตเล็กๆ กว้างประมาณ 1.5 เมตร ยาวต่อเนื่องไปโดยรอบ สามารถเดินเที่ยวชมได้รอบหมู่บ้าน
ประชากรที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านไร้แผ่นดิน ปัจจุบันมีเกือบ 500 หลังคาเรือน มีประชากรอยู่มากกว่า 1,000 คน บางบ้านยังเห็นผู้เฒ่าผู้แก่ ที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่อพยพมา บางบ้านได้ปรับให้เป็นที่พักอาศัยแบบโฮมสเตย์ แปรรูปผลิตผลทางทะเล เช่น ทำกุ้งแห้ง กุ้งต้มหวาน กะปิ หมึกแห้ง ปลาเค็ม ขายสินค้าท้องถิ่น ของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่หมู่บ้าน เป็นต้น
การประกอบอาชีพหลักของชุมชนยังคงเป็นการทำประมง ตกปู หาปลา ยกยอกุ้ง เลี้ยงปลาในกระชัง เลี้ยงหอยนางรม ทำกุ้งแห้ง* และทำเคย** ซึ่งถือว่าลุ่มน้ำเวฬุ ยังคงเป็นครัวขนาดใหญ่สำหรับชาวบางชัน ที่ยังมีอาหารทะเลสดให้กินได้ตลอด แต่สิ่งของหายาก หรือสิ่งที่แพงที่สุดกลับเป็น น้ำจืด ที่ต้องอาศัยน้ำฝน หรือซื้อมาจากฝั่งเมือง และน้ำมันเรือ ที่เป็นพาหนะสำคัญที่สุดสำหรับชาวบางชัน
** เคย คือ สัตว์น้ำตัวเล็กๆ คล้ายกุ้ง แต่ตัวเล็กกว่ามาก ยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร มีเปลือกบางและนิ่ม อาศัยอยู่ใกล้ผิวทะเล หรืออาจอยู่ลึกไปไม่มาก มักอยู่รวมกันตามชายทะเลและลำคลองบริเวณใกล้ป่าชายเลน เคยถือว่าให้คุณค่าทางโภชนาการสูง นำมาใช้ทำกะปิ
วิธีการไปยังหมู่บ้านไร้แผ่นดิน
1. เดินทางไปยังท่าเทียบเรือขลุง (ดูการเดินทางไปยังท่าเรือขลุง)
2. ที่ท่าเรือจะมี เช่าเรือ หรือเรือเหมา สำหรับพาไปยังที่พักโฮมสเตย์ ที่่จองไว้ล่วงหน้า (ติดต่อสอบเพิ่มเติมได้ที่ท่าเรือขลุง)
3. หากพักที่โฮมสเตย์ ในหมู่บ้านไร้แผ่นดิน (มี 2-3 แห่ง) จะใช้เวลาจากท่าเรือไปยังหมู่บ้าน ประมาณ 30 - 45 นาที
4. กรณีต้องการเที่ยวที่ต่างๆ แบบวันเดย์ทริป อาจเช่าเรือบริเวณท่าเรือเพื่อนำเที่ยว (สอบเพิ่มเติมได้ที่ท่าเรือขลุง) แวะชมหมู่บ้านไร้แผ่นดิน สามารถนำเรือเทียบจอดเพื่อขึ้นไปเดินเที่ยว ชมวิถีชีวิตชาวบ้าน ดูการทำกุ้งแห้ง ซื้อของฝาก ของที่ระลึก ชมวัดบางชัน วัดที่มีมานานกว่า 140 ปี อาจรวมการเที่ยวชมทะเลแหวก และชมฝูงเหยี่ยวแดง
ชมฝูงเหยี่ยวแดง
การชมฝูงเหยี่ยวแดงหัวขาว* เป็นกิจกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะเหยี่ยวแดงเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง และเป็นสัตว์ที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน การที่มีเหยี่ยวแดงในบริเวณลุ่มน้ำเวฬุ จึงหมายถึงความสมดุลของธรรมชาติของผู้คน สัตว์ และป่าในแถบนี้
เหยี่ยวแดงบริเวณลุ่มน้ำเวฬุ เป็นสัตว์ประจำถิ่น อาศัยอยู่บนต้นไม้ในป่าโกงกาง ในลุ่มน้ำเวฬุ โดยจะทำรัง และขยายพันธุ์อยู่บนต้นไม้ในบริเวณนั้นด้วย เหยี่ยวแดงในเขตป่าโกงกางแถบนี้ทั้งหมด มีอยู่ประมาณ 1000 กว่าตัว แยกอาศัยอยู่เป็นกลุ่ม กลุ่มละ 100 - 200 ตัว ธรรมชาติของเหยี่ยวจะกินปลาตัวเล็กตัวน้อยตอนน้ำลง
กิจกรรมนี้เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการท่องเที่ยวบริเวณลุ่มน้ำเวฬุ เพราะการชมเหยี่ยวแดงในธรรมชาติเป็นสิ่งที่หาชมได้ยากในปัจจุบัน จุดที่ชมเหยี่ยวแดง จะเป็นบริเวณเหมือนเวิ้งกว้าง ริมป่าโกงกางบริเวณที่มีฝูงเหยี่ยวแดงอาศัยอยู่ ชาวบ้านจะนำอาหาร เช่นพวกปลาตัวเล็กตัวน้อยที่ติดอวนมา โยนอาหารลงไปในน้ำ จากนั้นจะมีเหยี่ยวแดงที่บินวนอยู่นับร้อย โฉบลงมาจับอาหารขึ้นไปกิน
การไปถึงยังจุดให้อาหาร อาจเป็นเรือหางยาว หรือโฮมสเตย์บางแห่งก็จะพานั่งในแพไม้ไผ่ลาก หรือแพเปียก ลากไปยังจุดชมเหยี่ยวแดง การให้อาหารเหยี่ยวจะมีเพียงวันละครั้ง ในช่วงประมาณ 4 โมงเย็น ใช้เวลาในการชมเหยี่ยวประมาณ 1.30 ชั่วโมง
ชมทะเลแหวก หาดทรายสีดำ
ทะเลแหวก ที่บางชัน เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่ทำให้ทิวทัศน์ท้องทะเลดูสวยงามแปลกตา ทะเลแหวก จะเกิดขึ้นในช่วงน้ำลง บริเวณปากแม่น้ำเวฬุก่อนที่จะไหลออกสู่ทะเล พอน้ำเริ่มลด ก็จะทำให้เห็นเนินสันทรายโผล่ขึ้นมา ทอดยาวอยู่กลางทะเล ทรายที่นี่จะไม่เหมือนกับทะเลแหวกทางภาคใต้ ตรงที่เนินทรายจะมีบางส่วนเป็นทรายสีดำ โดยไม่ได้เกิดจากสิ่งสกปรกมาทับถม แต่เป็นเม็ดทรายที่มีเนื้อทรายสีดำ บนเนินทราย
ลักษณะของทะเลแหวกเป็นลักษณะการเกิดสันทรายบริเวณใกล้ปากแม่น้ำ ที่มีการพัดพาโคลนตะกอนจากแม่น้ำมาทับถม มีลักษณะปริ่มน้ำ ตามเวลาน้ำขึ้นน้ำลง เวลาน้ำขึ้นน้ำจะท่วมมิดเนินทราย เวลาน้ำลงลานทรายจะโผล่พ้นผิวน้ำ ทำให้สามารถลงไปเดินเล่น ถ่ายรูปวิวท้องทะเลกว้างใหญ่ ที่มองเห็นไปจนถึงเกาะช้าง และยังได้เห็นสัตว์เล็กๆ พวกหอย และปูตัวน้อย อย่างปูเสฉวน ออกมาวิ่งให้เห็นเต็มไปหมด
กิจกรรมต่างๆ ในบริเวณบางชัน
บริเวณบางชัน มีกิจกรรมอีกหลากหลาย ที่สามารถคุยติดต่อสอบถามกับทางโฮมสเตย์ได้โดยตรง
- เดินชมหมู่บ้านไร้แผ่นดิน
- ชมฝูงเหยี่ยวแดง
- ชมทะเลแหวก
- ศึกษากิจกรรมวิถีชีวิตชุมชนบางชัน และการประกอบอาชีพของชาวบ้าน
- นั่งเรือชมป่าชายเลน
- สักการะหลวงพ่อปากน้ำเวฬุ (ศาลเจ้าพ่อปากน้ำเวฬุ)
- เที่ยววัดบางชัน (วัดอรัญสมุทธาราม)
- การล่องแพเปียก
- พายเรือคายัค
- การงมหอยแครง
- การตกปลา ดักลอบปลา
- เที่ยวเกาะจิก
ท่าเทียบเรือขลุง
ท่าเทียบเรือขลุง อยู่ถนนเทศบาล 2 ตำบลเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เป็นท่าเรือที่ห่างจากตัวอำเภอขลุงมาประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นที่ลงเรือสำหรับไปยังโฮมสเตย์ต่างๆ ไปร้านอาหารฟาร์มปูนิ่ม หรือเช่าเหมาเรือไปเที่ยวในจุดต่างๆ บริเวณท่าเรือมีที่จอดรถ (จอดได้ไม่มากเท่าไหร่) โฮมสเตย์บางแห่ง มีคอนแทคกับร้านอาหารบริเวณท่าเรือ สามารถนำรถไปจอดภายในร้านอาหารได้ (สอบถามกับทางโฉมสเตย์โดยตรง)
สำหรับผู้ที่ไม่ได้นำรถยนต์มา เมื่อเดินทางมาถึงตัวอำเภอขลุงแล้ว ให้เหมารถสามล้อจากตัวอำเภอมายังท่าเรือ
เรือเช่าที่ท่าเรือขลุง มีหลายขนาด ทั้งเป็นแบบเรือหางยาว ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ราคาขึ้นอยู่กับขนาดและจำนวนคน
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
องค์การบริหารส่วนตำบลบางชัน
ที่อยู่ 87 ตำบลบางชัน อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี 22110
ติดต่อ 039-460-951
รถยนต์ส่วนตัว
1 | จากแกลง จ.ระยอง ใช้เส้นทางถนนสุขุมวิท (หมายเลข 3) ตรงมาจันทบุรี จนถึงสามแยกปากแซง แล้วเลี้ยวขวาไปทางจังหวัดตราด (ทางเดียวกับไปน้ำตกพลิ้ว และแหลมสิงห์) |
2 | ขับตรงตามเส้นทางไปเรื่อย ๆ จนเลยแยกทางเข้าน้ำตกพลิ้วไปสักระยะจะผ่านปั๊ม Esso (ฝั่งเดียวกับที่เราขับ) |
3 | พอเลยปั๊ม Esso ไปประมาณ 1 กิโลเมตร จะมีทางโค้งขวา ให้เราขับชิดขวาไว้ เพื่อเตรียมเลี้ยวเข้า ถนนเทศบาลเมืองขลุง |
4 | เมื่อเลี้ยวเข้าถนนเทศบาลมาแล้ว (ถนนที่เข้ามาจะเป็น ถนนเทศบาล 3) ให้ตรงตามเส้นทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 1.5 กิโลเมตร จะมีป้ายบอกทางเลี้ยวซ้ายไปท่าเทียบเรือขลุง จึงเลี้ยวซ้าย |
5 | เมื่อเลี้ยวซ้ายไปได้ราวๆ 700 เมตร จะมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวขวาไปท่าเรือ ให้เลี้ยวขวาตามป้ายบอกทาง |
6 | เมื่อเลี้ยวขวาเข้าถนนเทศบาล 2 ให้ตรงตามเส้นทางไปเรื่อยๆ จนสุดทาง จึงเป็นท่าเรือขลุง |
รถโดยสาร
รถทัวร์
นั่งรถตู้ กรุงเทพฯ - ขลุง
> คิวรถตู้ขลุง
รถออก 4.20 - 19.20 น. (ค่าโดยสาร 230 บาท/คน)
คิวรถอนุสาวรีย์ (ซอยรางน้ำ) 084-566-9588
คิวหมอชิต (บขส. ขาเข้า) 089-604-3357
คิวรถขลุง (อยู่ข้างบริษัทไทยประกันชีวิต ถนนเทศบาล 4) 080-095-4448
นั่งรถตู้ สุวรรณภูมิ - ตราด (บริษัท ธนทวี ขนส่ง) แล้วลงที่อำเภอขลุง จากนั้นนั่งสามล้อไปท่าเรือ